สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

ข้อมูล CB 400 V-Tec

ข้อมูล CB 400 V-Tec

 

 

    - ค่ายปีกนกหรือฮอนด้าได้ริเริ่มนำเอาเทคโนโลยีของระบบ Hyper VTEC มาใช้ครั้งแรกกับรถจักรยานยนต์รุ่น CB 400 Super Four ซึ่งระบบดังกล่าวได้พัฒนาใช้กับเครื่องยนต์ 4 สูบ ขนาด 399 ซีซี. DOHC 16 วาล์ว ซึ่งเป็นเครื่องยนต์แบบ 4 จังหวะ ใช้น้ำเป็นตัวช่วยระบายความร้อน โดยเครื่องยนต์จะมีระบบควบคุมจังหวะการเปิด-ปิด วาล์วที่เรียกว่า ระบบ Hyper VTEC

    - Hyper VTEC นั้นจะเป็นลักษณะการทำงานที่คล้ายกับระบบเดียวกันที่ใช้อยู่ในรถยนต์ โดยที่ระบบจะทำหน้าที่ควบคุมจังหวะการเปิด-ปิดวาล์วให้สัมพันธ์และเหมะสมกับความเร็วรอบของเครื่องยนต์ โดยระบบนี้จะแตกต่างจากเครื่องยนต์ทั่วไปก็คือ เครื่องยนต์แบบทั่ว ๆ ไปนั้นในแต่ละสูบของเครื่องยนต์ การทำงานของวาล์วไอดีและไอเสียจะทำงานพร้อมกันทั้งหมดทุกความเร็วรอบ แต่ในขณะที่เครื่องยนต์ระบบ Hyper VTEC นั้นในจังหวะที่เครื่องยนต์มีความเร็วรอบต่ำจนถึงปานกลาง ความต้องการปริมาณอากาศและน้ำมันเชื้อเพลิงของเครื่องยนต์มีความเร็วรอบเพิ่มขึ้นจนถึง 6,750 รอบ/นาที ระบบก็จะบังคับให้วาล์วที่เหลือเปิดกว้างขึ้น ซึ่งจะใช้ความเร็วรอบทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของวาล์ว โดยมีอุณหภูมิน้ำมันหล่อลื่นและระบบจุดระเบิดมาเป็นตัวแปรต่อการทำงานของระบบ เป็นตัวแปรอย่างไร เราไปทำความเข้าใจกัน

    - การทำงาน Hyper VTEC  โดยที่มีระบบจุดระเบิดที่ทำหน้าที่เป็นตัวควบคุมนั้น มีเซ็นเซอร์ซึ่งจะติดอยู่ที่บริเวณ
คาร์บูเรเตอร์ จากนั้นจะทำหน้าที่คอยตรวจจับตำแหน่งองศาการเปิด-ปิดของลิ้นเร่ง จากนั้นจะถ่ายทอดสัญญาณออกมาเพื่อแปรเป็นจังหวะการจุดระเบิดให้เหมาะสมกับการทำงานของวาล์ว และในส่วนของการใช้น้ำมันหล่อลื่นเครื่องยนต์เป็นตัวควบคุมนั้นเมื่ออุณหภูมิของน้ำมันหล่อลื่นมีอุณหภูมิต่ำกว่า 30 องศาเซลเซียสจะส่งผลให้วาล์วที่เหลืออยู่ไม่ทำงาน


- การทำงานของระบบ Hyper VTEC
เมื่อเริ่มสตาร์ท เครื่องยนต์ใช้ความเร็วรอบต่ำกว่า 6,750 รอบ/นาที น้ำมันหล่อลื่นจะถูกดูดไปหล่อเลี้ยงชิ้นส่วนต่าง ๆ ตามปกติ ซึ่งน้ำมันหล่อลื่นนี้ไม่สามารถผ่านเข้าไปในวงจรระบบ Hyper VTEC ได้เนื่องจากมีโซลินอยด์วาล์วปิดกั้นเอาไว้ ซึ่งอยู่ภายในตัวกดวาล์วและก้านวาล์วก็จะถูกสปริงดันเอาไว้  เมื่อแรงดันน้ำมันเครื่องต่ำจึงไม่สามารถเอาชนะแรงดันสปริงได้ทำให้แรงกดที่เกิดจากลูกเบี้ยวไม่สามารถส่งผ่านตังกดวาล์วให้ทำงานได้ ทำให้ในจังหวะนี้การทำงานวาล์วไอดีและไอเสียจะทำงานเพียง 1 คู่เท่านั้น และเมื่อใดที่เครื่องยนต์ต้องทำงานโดยที่ใช้ความเร็วรอบสูงกว่า 6,750 รอบ เซ็นเซอร์ตรวจจับความเร็วรอบเครื่องยนต์ที่อยู่ในชุดไปจุดระเบิดจะทำหน้าที่ส่งสัญญาณไปยังกล่องสมองกล หรือกล่อง ECU  จากนั้นกล่อง ECU
จะสั่งการให้โซลินอยด์วาล์วเปิดวงจรระบบ Hyper VTEC ซึ่งจะปล่อยแรงดันน้ำมันหล่อลื่นให้สามารถผ่านเข้าไปในวงจรน้ำมันของระบบ Hyper VTEC ได้ โดยจะดันให้สลักซึ่งอยู่ภายในระหว่างตัวกดวาล์วและก้านวาล์ว เลื่อนเอาชนะแรงดันของสปริงแรงกดที่เกิดจากลูกเบี้ยวจะสามารถส่งจากตัวกดวาล์วไปยังก้านวาล์วได้ ในจังหวะนี้ ทำงานครบทุกตัวและในขณะเมื่อความเร็วรอบของเครื่องยนต์ลดลงต่ำกว่า 6,750 รอบ/นาที กล่อง ECU จะสั่งให้โซลินอยด์ปิดทางเข้าน้ำมันทันที โดยแรงดันน้ำมันหล่อลื่นจะลดต่ำลงไปและไม่สามารถเอาชนะแรงดันสปริงที่ดันสลักได้ ในจังหวะนี้ระบบ Hyper VTEC จะไม่ทำงาน จนกว่าความเร็วรอบของเครื่องยนต์จะสูงขึ้นถึงที่ระดับ 6,750 รอบ/นาที

 

ข้อดีของระบบ Hyper VTEC

 นี้จะช่วยให้เครื่องยนต์มีสมรรถนะในส่วนของแรงบิดเพิ่มมากขึ้น ทั้งในช่วงความเร็วรอบต่ำและความเร็วรอบสูง โดยในช่วงที่เครื่องยนต์มีความเร็วรอบต่ำอยู่นั้นจะมีแรงบิดเพิ่มขึ้นถึง 60% ส่วนในจังหวะที่ใช้ความเร็วสูงนั้นแรงบิดเพิ่มขึ้นอีก 20% นอกเหนือจากนี้ยังช่วยลดแรงเสียดทานที่เกิดขึ้นจากการทำงานของวาล์วช่วงความเร็วรอบต่ำ เนื่องจากวาล์วจะทำงานแค่เพียงสองตัวเท่านั้น ซึ่งก็จะช่วยให้สามารถประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงได้มากขึ้นกว่าเครื่องแบบธรรมดาทั่วไป

 

ใช่ว่าการทำงานของ Hyper VTEC จะหยุดอยู่เพียงแค่นั้น ฮอนด้ายังได้ทำการพัฒนาระบบ Hyper VTEC ขึ้นไปอีก โดยในปี 2002 วิศวกรฮอนด้าได้พัฒนาระบบ Hyper VTEC ให้ดีขึ้น ซึ่งเวอร์ชั่นที่มีชื่อว่า Hyper VTEC Spec II ทางฮอนด้าได้พัฒนาโดยลดความเร็วรอบในการเปิดวงจรระบบ Hyper VTEC  ลงจาก 6,750 รอบ/นาที ให้เริ่มเปิดที่ 6,700 รอบ/นาที ต่อมาในปี 2003 ทีมวิศวกรก็พัฒนาจังหวะควบคุมการเปิด-ปิดวาล์ว ไอดี-ไอเสียให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นโดยกำหนดให้ในช่วงความเร็วรอบไม่เกิน 6,300 รอบ/นาที ระบบจะกำหนดให้อยู่ในช่วงความเร็วรอบต่ำแบะใช้เกียร์ 1-5 และวาล์วจะเปิดเพียงอย่างละตัวเท่านั้น แต่เมื่อความเร็วรอบเพิ่มขึ้นจนถึง 6,750 รอบ/นาที ระบบจะกำหนดให้เป็นช่วงความเร็วสูงและเกียร์จะอยู่ที่เกียร์ 6 วาล์ว ไอดี-ไอเสีย จะเปิดกว้างสุดทั้งหมด ซึ่งเป็นเวอร์ชั่นที่ 3 คือ Hyper VTEC Spec III นั่นเอง

 

รูป VTEC รุ่นต่าง ๆ

Vtec รุ่นแรก เริ่มผลิตวันที่ 22 ก.พ.1999


 ในวันที่  31 ม.ค.2000 และ วันที่ 22 ม.ค. 2001  ก็ยังเป็นเทค 1 อยู่ แตกต่างจากเทค 99 ตรงสีสปริงโชคหลัง



ปี 2002 เทค 2 ก็ออกมา
 

ปลายปีวันที่ 23 ธ.ค.2002 ออกลวดลายใหม่มาดึงดูดลูกค้า


อีกเกือบ 1 ปี วันที่ 19 ธ.ค.2003  เทค 3 ออกปรากฎโฉม


ปี 2004 ยอดขายยังดี ฮอนด้าไม่ออกลวดลายใหม่

วันที่ 18 มี.ค.2005 เทค 3 ลายใหม่ก็ออกมา แถมรุ่น BOLD'OR ก็ออกมาด้วยในปีนั้น



วันที่ 20 มี.ค.2006 วีเทค 3 รุ่นปัจจุบันก็ออกมา

f400 เป็นรถที่เรียกว่ายอดฮิตมากในบ้านเรา ด้วยเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใครคือ
1.สวยที่สุดในรุ่น 400 ปัจจุบัน
2.อะไหล่เก่าเยอะมากก
3.มีปีใหม่ๆให้เราเลือกจนถึง v-tec 4 ปัจจุบัน
4.เครื่องแรงและนุ่มนวลมาก
5.ขายต่อราคาไม่ค่อยตก

ผมก็เลยเลือกรีวิวรุ่นนี้ที่ผมเคยใช้มาให้เพื่อนๆดูกันนะครับ เวลาที่เราจะเลือกซื้อเราจะต้องดูอะไรบ้าง เพราะว่า sf400 v-tec เนี่ยหน้าตาคล้ายกันหมด ไม่รุ้จะเลือกยังไงให้ไม่โดนหลอก



1.ดูเลขคอ เลขเครื่อง
ปี 01 nc-39-102xx nc23e-202xxx
02 nc-39-103xx nc23e-203xxx
03 nc-39-104xx nc23e-204xxx
04 nc-39-105xx nc23e-205xxx
05 nc-39-110xx nc23e-210xxx
06 nc-39-120xx nc23e-220xxx
07 ไปคาดการณ์กันเองครับ เลขมันเรียงตามลำดับเลยครับ

2.ให้เราคิดว่าส่วนที่เวลารถล้มแล้วมันจะต้องโดนพื้นมีอะไรบ้าง ของพวกนี้ควรจะอยู่ครบ ถ้าไม่ครบให้คิดไว้เลยว่าเคยล้มมาหรือชนมาแล้ว
2.1 กระจกเดิม เพราะถ้าล้มนี่กระจกโดนก่อนเลย
2.2 ตุ้มปลายแฮนด์ อันนี้ก็โดนก่อนกระจกนิดนึง
2.3 แฮนด์ sf ถ้าล้มแฮนด์จะงอก่อนเลย
2.4 เซนเซอร์พักเท้า มันจะบอกเลยว่าล้มมาขนาดไหน ถ้าไม่อยู่ก็...
2.5 โคมไฟหน้า ถ้าเคยล้มโคมจะต้องมีรอยครับ
2.6 ล้อต้องไม่กลึงล้างขอบมา เพราะถ้ากลึงล้างมาแสดงว่าล้อเดิมอาจเคยซ่อมหรือรีดมา หรือมีรอยกระแทกกับฟุตบาทจนมีรอยลึก จึงต้องกลึงออกเพื่อลบรอยเหล่านั้น..ลองคิดซิถ้าเป็นรถเราล้อดีๆล้อเดิมๆสีเดิมสวยๆ จะกล้ากลึงล้อแท้ของเดิมติดรถมั้ย หรือจะบอกว่ากลึงให้สวย หรือกลึงให้เบา...ฟังไม่ขึ้นเลยครับ

3. โช๊คหลังแต่ละปีสีจะไม่เหมือนกัน
เทค1ปี 99 สปริงสีดำ ปั๊มเบรคอยู่ล่าง มีหูรัดท่อ
เทค1ปี 00 สปริงสีแดง ปั๊มเบรคอยู่ล่าง มีหูรัดท่อ
เทค1ปี 01 สปริงสีแดง ปั๊มเบรคอยู่ล่าง มีหูรัดท่อ
เทค2ปี 02 สปริงสีแดง ปั๊มเบรคอยู่ล่าง มีหูรัดท่อ (กุญแจชิพ)
(ปี 03 ขึ้นไปจะไม่มีหูรัดท่อแล้วนะครับ และกุญแจชิพเริ่มปี 02ขึ้นไป)
เทค2ปี 03 สปริงสีแดง ปั๊มเบรคอยู่ล่าง ตูดแหลม ไมค์ดิจิตอล
เทค3ปี 04 สปริงสีเทา ปั๊มเบรคอยู่บน ตูดแหลม ไมค์ดิจิตอล
เทค3ปี 05 สปริงสีแดง ปั๊มเบรคอยู่บน ตูดแหลม ไมค์ดิจิตอล
เทค3ปี 06 สปริงสีแดง ปั๊มเบรคอยู่บน ตูดแหลม ไมค์ดิจิตอล ไฟเลี้ยวสีขาว



4.ปลายท่อของปี 99-2000 จะมีที่รัดท่อ แต่ปี 04 ขึ้นมาจะไม่มีครับ ถ้ารถเราปีเกิน 04 แต่ปลายท่อมีสายรัดท่อ แสดงว่าไม่ใช่ท่อเดิมติดรถ เพราะรถล้มหนักมาแน่นอนจนท่อบุบหรือเสียหายจนต้องเปลี่ยน เลยเอาของปีอื่นมาใส่แทน

5.ฝาปิดปลายโช๊คข้างบนทั้งสองข้างต้องมีตัวปรับสปริงเป็นขั้นๆ ไม่ใช่แค่ฝาปิดเฉย

6.ปี 99-01 จะเป็นไมค์ธรรมดา แต่ถ้าปี 02 ขึ้นไปหรือที่เรียกว่าเทค2 จะเป็นไมค์ไฟฟ้า คือจะสวิงตัว 1 ครั้งตอนบิดกุญแจและ และเพิ่มหน้าปัทดิจอตอลมาให้อีกนิดนึง

7.กุญแจชิพจะเริ่มต้นที่เทค2

8.ฝาครอบเครื่องด้านขวา ต้องไม่เคยปัดเงาหรือย้อมสี ถ้าปัดเงาแสดงว่าล้มแล้วปัดเก็บรอยครับ (คันผมล้มขวาเลยปัดเงาเก็บงานครับ)

9.ฝาครอบมัดข้าวต้มด้านซ้ายที่เป็นกลมๆจะบอกถึงร่องรอยการล้มได้ครับ สังเกตุรอบๆวงกลมจะมีเส้นวงกลมเล็กๆอยู่รอบๆ ถ้าเส้นมันหายไปบางส่วนแสดงว่าสไลด์กับพื้นจนเส้นหายไปแล้วครับ



10.ในรูปนี้คือท่อที่ไม่เคยย้อมสีและรถวิ่งไม่เกิน 9000 โลท่อจะต้องสีดำด้าน นวลๆ และตรงคอท่อโดนความร้อนสีจะออกขาวนวลแต่ต้องไม่ผุ และแทบจะไม่มีสนิม นี่คือรถวิ่งไม่ถึง 10000 โล ถ้าวิ่งเยอะแล้วคอจะผุจนต้องขัดสีใหม่และพ่นสีใหม่อีกครั้งเพื่อย้อมให้ดูว่าท่อยังไม่มีสนิมและยังไม่ผุ

11.และสุดท้ายแล้วสำคัญมาก ตัวเลขไมค์และสภาพรถต้องสัมพันธ์กันเช่น ไมค์ 6000 โล ยางก็ควรจะเป็นยางลายติดรถเพราะรถ 400 cc กว่าดอกจะหมดก็ปาเข้าไปเกือบหมื่นแหละครับ ถ้าไมค์น้อยๆแต่ไม่ใช่ยางลายตรงรุ่นยางลายเดิมแสดงว่าเคยกรอไมค์มาแล้วครับ หรือ..เจ้าของเค้าอาจจะรวยเปลี่ยนยางทั้งที่ยางเก่ายังไม่หมด ให้พวกเราได้ใช้ยางใหม่กันก็ได้ครับ

V-tec รุ่นแรกของโลก ผลิตวันที่ 22 กุมพาพันธ์ ปี 1999



ในวันที่ 31 มกราคม ปี 2000 และ วันที่ 22 มกราคมปี 2001 ก็ยังเป็นเทค 1 อยู่ แต่ไม่เหมือนปี 99 ตรงสีสปริงโช๊คหลัง




ปี 2002 วีเทค 2 ก็ออกมา เปลี่ยนแปลงรายละเอียดไปพอสมควรเลย ปั๊มเบรคหลังอยู่บน ไมค์ไฟฟ้า+ดิจิตอล เปลี่ยนกลไกของวีเทคใหม่ ท่อแบบไม่หูรัดท่อ


วันที่ 23 ธันวาคา ปี 2002 ก็ยังคงเดิมแต่เพิ่มสีสันใหม่


และวันที่ 19 ธันวาคา ปี 2003 เทค 3 ก็ออกมาอวดโฉม


ปี 2004 ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง

18 มีนาม ปี 2005 วีเทค 3 เพิ่มลายใหม่ขึ้นมา แถมรุ่นมีหน้ากากอย่าง BOLD'OR ก็เผยโฉมครั้งแรก เปลี่ยนแค่สีโช๊คหนังเป็นสีแดง



20 มีนาคม ปี.2006 วีเทค 3 ก็ออกมาแบบสวยบาดใจ ตูดกระดานเหลมเฟี้ยว เปลี่ยนฝาครอบไฟเลี้ยวเป็นสีขาว





เดี๋ยวผมจะเอารูปตัวอย่างรถผมคันเก่าๆมาให้ดูนะครับ



ให้สังเกตุครับว่าเทค 1 จะมีหูรัดท่อเป็นอลูมิเนียม และมีรูๆรอบๆ ปั๊มเบรคหลังอยู่ข้างล่าง และโช๊คหลังของเทค 1 จะสีแดง และคันนี้เคยพ่นสีท่อมาแล้วเพราะวิ่งมาประมาณ 20000 โล จำไว้เลยรถถ้าวิ่งถึง 15000+ ขึ้นไปคอท่อจะมีสนิมขึ้นแล้ว ถ้ารถคันไหนสนิมเยอะคือวิ่งเยอะ ถ้าคันไหนมีน้อยคือวิ่งน้อย ถ้าคันไหนทำสีท่อมาคือย้อม เพราะถ้าวิ่งน้อยกว่า 7000 โลจริงๆท่อจะยังสวยปิ้ง สนิมแทบไม่มีและไม่ต้องย้อมสีเลย (แต่คันผมย้อมครับ 555)



ทีนี้มาดูเทค3 ปี2006 บ้างอะไรที่ต่าง โช๊คหลังสปริงสีแดง ซึ่งต่างกับ 02-04 ที่จะเป็นสีเทา เบรคหลังย้ายจากข้างล่างมาอยู่ข้างบนซึ่งปี 99-2001 จะอยู่ข้างล่าง ปี 06 ท่อจะไม่มีหูรัดท่อ ซึ่งไม่มีมาตั้งแต่ปี 04 หรือก่อนหน้านั้นแล้ว ไฟเลี้ยวของ 06 จะเป็นสีขาว แต่ตรงนี้ดูไม่ได้เพราะบ้านเราของแต่งสีขาวมีขายเยอะแยะเลย ให้สังเกตุรถผม รถวิ่งไม่เกิน 12000 โล ท่อจะต้องสีเดิมคือดำด้าน และคอท่อต้องไม่เคยพ่นสี จะออกสีเทาๆเพราะความร้อน สนิมจะมีเป็นเม็ดๆเพียงเล็กน้อย สังเกตุฝาปิดเครื่องด้านขวาของผมเงาๆ เพราะว่าเคยล้มขวามาเลยปัดเงาเก็บงานให้เรียบครับ



ทีนี้มาดูคันที่เจ็บช้ำน้ำใจที่สุดครับ เหนทีไรเซงทุกทีครับ โดนพวกกันหลอกมาเต็มๆ ไม่ใช่ผมโง่ดูไม่เป็นนะครับแต่เพราะความไว้ใจครับ ซึ่งคงไม่คบหาด้วยอีกแล้วล่ะครับ เค้าบอกว่ารถไม่ล้มไม่ชน สีเดิม เครื่องดี แต่...ไอ้สาดด

1.บอกกรูปี 06 แต่จริงๆเลขคอเลขเครื่องเป็นปี 05
2.ท่อแม่งของเทค 1 มีหูรัดท่อ แสดงว่าสไลด์มาหนัก ไอ้สราดดหลอกกรู
3.สีก็ทำมา แถมทำมาไม่เหมือนกันอีก แล้วบอกกรูสีเดิม
4.บอกกูว่าไม่เคยล้ม แต่เซนเซอร์พักเท้าแม่งยับเยินข้างนึงอีกข้างขาดกระจุยเหลือแต่เกลียวนอต ฝาปิดเครื่องด้ายขวามีรอยล้ม ปลายแฮนด์ กระจก ไฟเลี้ยว พักเท้า มีรอยล้มทุกรายการ
5.ท่อที่ติดรถมา ทำสีแค่ครึ่งหลัง ครึ่งหน้าสีเดิมยังสวยๆอยู่ ซึ่งก็น่าจะตรงกับตัวไมค์ 7xxx แต่เนื่องจากล้มมาปลายท่อเลยกระจุยจนต้องเอาของเทค1 มาใส่ประจำการแทน
6.รถคันนี้เจ็บช้ำน้ำใจที่สุดเพราะร้านดั้งเดิมที่ประกอบมาห่วยแตกโคตรๆ ใส่เกจ์น้ำมันในถังกลับด้านทำให้เกจ์บอกว่ามีน้ำมันเหลือ ทั้งที่หมดแล้ว กรูเข็นไปเกือบกิโลตอนเที่ยงคืน แถมนอตปั๊มเบรคหน้าก็ไขซะเกลียวหวานเลยผมต้องเอาไปซ่อมต๊าบเกลียวใหม่ รถเครื่องเงียบดีมากแต่ ทำไมมีเสียงวาลว์ยิบๆก็ไม่เข้าใจ เซงโคดๆ

 

 

 

 

view